
ฝุ่นpm2.5
ฝุ่นPM2.5 นั้นส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างมาก โดยเฉพาะระบบทางเดินหายใจ ทว่าหลายคนยังไม่ทราบว่า ฝุ่น PM2.5 นั้นส่งผลกระทบต่อระบบผิวหนังด้วย ซึ่งผลกระทบโดยอ้อมคงหนีไม่พ้นปัญหาสิว ปัญหาหลุมสิว และลามไปถึงวิธีการรักษาหลุมสิว
อย่างที่ทราบกันดีว่า ฝุ่นละอองขนาดเล็กว่า 2.5 ไมครอน หรือเรารู้จักกันในนาม PM2.5 นั้น ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ทำให้มีคนไม่น้อยที่ไม่ตระหนักถึงอันตรายต่อสุขภาพอย่างใหญ่หลวง ซึ่งด้วยขนาดที่เล็กมาก ทำให้ฝุ่น PM2.5 สามารถถูกสูดเข้าลึกถึงทางเดินหายใจและปอด บางอนุภาคยังอาจเข้าสู่กระแสเลือดไหลเวียนไปทั่วร่างกาย ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพมากมายดังนี้
ผลกระทบของฝุ่น PM2.5
ผลกระทบต่อทางเดินหายใจและปอด : แน่นอนว่า ฝุ่น PM2.5 ส่งผลกระทบโดยตรงกับระบบทางเดินหายใจและปอด ด้วยขนาดที่เล็กมากจนไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ยิ่งสามารถผ่านเข้าสู่ทางเดินหายใจได้ง่ายและรวดเร็ว ส่งผลให้ผู้ป่วยโรคหอบหืดกำเริบ หรือเป็นสาเหตุให้คนปกติเป็นหอบหืดได้เช่นกัน และหากสะสมเป็นเวลานานอาจเป็นปัจจัยให้เกิดมะเร็งปอดได้ในที่สุด
ผลกระทบต่อหัวใจ : เมื่อฝุ่น PM2.5 เข้าสู่ร่างกายติดต่อกันในระยะหนึ่ง จะทำให้เกิดการตะกอนภายในหลอดเลือด จนทำให้เกิดหัวใจวาย หรือหลอดเลือดสมองตีบได้ นอกจากนี้การสัมผัสมลพิษทางอากาศยังมีผลต่อเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้เต้นผิดจังหวะ และบางรายอาจรุนแรงจนส่งผลให้หัวใจวายเฉียบพลันได้เช่นกัน
ผลกระทบต่อสมอง : การสะสมของเจ้าฝุ่น PM2.5 นั้นไม่ได้ทำร้ายแค่หัวใจ แต่ยังทำร้ายไปถึงสมองของเราอีกด้วย เนื่องจากฝุ่น PM2.5 นั้นสามารถผ่านเข้าสู่กระแสเลือดจนเกิดการสะสมขึ้น จะส่งผลให้ความดันโลหิตสูง และเลือดมีความหนืด ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดลิ่มเลือดในสมอง รวมถึงหลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว ทำให้เส้นเลือดในสมองตีบ หรือแตก เป็นสาเหตุของโรคอัมพฤกษ์อัมพาตและเสียชีวิตได้อีกด้วย
ผลกระทบต่อผิวหนัง: แบ่งเป็น 2 ระดับคือแบบเฉียบพลัน และบบเรื้อรัง โดยผลกระทบแบบเฉียบพลัน จะทำให้การอักเสบบริเวณผิวหนัง เกิดผื่นแพ้ตามบริเวณที่สัมผัสกับฝุ่นPM2.5 อาการคัน อาการระคายเคือง อาจทำให้เกิดสิวเห่อขึ้นได้ง่ายรวมถึงกระตุ้นผื่นแพ้เดิมที่เคยเป็นเช่น ผื่นภูมิแพ้ ผื่นต่อมไขมันอักเสบอีกด้วย ส่วนผลกระทบแบบเรื้อรังจะส่งผลให้เกิดอนุมูลอิสระต่อเซลล์ผิวหนัง เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ผิวเสื่อมชราได้เร็วยิ่งขึ้น เกิดเป็นริ้วรอย และจุดด่างดำเพิ่มมากยิ่งขึ้น
วิธีป้องกันฝุ่น PM 2.5
ใช้หน้ากากที่สามารถป้องกันฝุ่นได้ เช่น N95 หากไม่มีอาจใช้หน้ากากอนามัยซ้อนกัน 2 ชั้น แต่การสวมใส่หน้ากาก ควรสวมใส่อย่างถูกต้อง คือ ควรสวมใส่ปิดให้แนบสนิทกับใบหน้าทุกส่วน เนื่องจากฝุ่นละอองมีขนาดเล็กมากทำให้สามารถลอดผ่านหน้ากากได้ง่าย ควรใช้แล้วทิ้งไม่ควรนำหน้ากากกลับมาใช้ใหม่
หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งทุกชนิด และควรอยู่ในอาคาร บ้าน หรือพื้นที่ปิดมิดชิด เพราะจะมีโอกาสสัมผัสฝุ่นน้อยลง หรือหากจำเป็นต้องออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้งควรใส่หน้ากากป้องกันฝุ่นละออง
ควรเปิดเครื่องฟอกอากาศที่มีแผ่นกรองที่มีคุณสมบัติในการกรองฝุ่น PM 2.5 เนื่องจากฝุ่นสามารถผ่านเข้ามาได้ตลอดเวลาจากการเปิดปิดประตูหรือหน้าต่าง ในกรณีที่ไม่มีการเปิดแอร์ ก็ควรเปิดพัดลมร่วมกับเปิดเครื่องฟอกอากาศ โดยปิดห้องให้มิดชิดไม่ให้อากาศภายนอกเข้ามาภายในห้อง
ผลกระทบทางอ้อมของฝุ่น PM 2.5
อย่างที่ทราบกันดีว่าวิถีชีวิตใหม่แบบ New Normal ที่เกิดขึ้นในยุคที่มีการระบาดของไวรัสก่อโรค Covid-19 รวมถึงปัญหาฝุ่นตัวร้ายอย่าง PM 2.5 ทำให้ทุกคนต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยกันแทบตลอดเวลา เพื่อป้องกันตัวเองจากสิ่งเหล่านี้ ทว่าเมื่อต้องใส่เป็นประจำทุกวันเป็นเวลานานๆ ทำให้ เกิดการอับชื้นของผิวหนังที่อยู่ภายใต้หน้ากากอนามัย มีการอุดตันจากสิ่งสกปรกภายนอก ร่วมกับการเพิ่มจำนวนของแบคทีเรีย รวมถึงการระคายเคืองหรือเสียดสีจากหน้ากากอนามัย จนเป็นสาเหตุให้เกิด สิว ผดผื่นคัน ได้ในที่สุด
วิธีป้องกันสิวจากการสวมใส่หน้ากากอนามัย
1.สอดแผ่นทิชชู่ที่นุ่มและสะอาดภายใต้หน้ากากอนามัยอีกชั้นหนึ่ง เพื่อป้องกันการเสียดสีกับหน้ากาก
2.หมั่นซับเหงื่อระหว่างวัน โดยเฉพาะวันที่อากาศร้อนมากๆ
3.ใช้ทิชชู่รองเพื่อป้องกันน้ำลายที่จะเกิดขึ้นระหว่างการพูดคุย จนเกิดการสะสมของแบคทีเรีย
4.ทิ้งหน้ากากทันทีเมื่อกลับถึงบ้าน พร้อมกับล้างหน้าให้สะอาด เพื่อลดการสะสมของสิ่งสกปรก และมลภาวะที่ตกค้างอยู่ที่หน้ากาก
5.หากแพ้หน้ากากอนามัยชนิดทางการแพทย์ ให้เปลี่ยนมาใช้หน้ากากผ้าแทน
6.ซักหน้ากากผ้าด้วยน้ำยาซักผ้าเด็กหรือน้ำสบู่อ่อน แทนการใช้ผลิตภัณฑ์ซักล้างและปรับผ้านุ่มที่ผสมน้ำหอม
7.หยุดครีมบำรุงที่ใช้อยู่รวมถึงงดแต่งหน้า และปรึกษาแพทย์ผิวหนัง
อย่างไรก็ตาม แนะนำให้จัดการกับสิวที่เกิดในระยะแรก หรือเพิ่งเริ่มเป็นสิว โดยเร็วและถูกวิธี จะทำให้ประสิทธิภาพในการรักษาดียิ่งขึ้น หากทิ้งไว้นานหรือรู้ตัวช้าอาจมีความเสี่ยงในการเกิดรอยแผลเป็นสิวหรือลามไปถึงปัญหาหลุมสิวได้ด้วย ซึ่งแน่นอนว่าหากไปถึงขั้นนั้นแล้วการรักษาหลุมสิวค่อนข้างยากกว่าจัดการสิวในระยะแรกอยู่มากเลยทีเดียว